ทอท. เชื่อมั่นการรับบริหาร 3 สนามบินเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย ทย. ไม่เสียประโยชน์ เงินเข้ากองทุนฯ เหมือนเดิม ประชาชนได้ประโยชน์ หนุนเป็นฮับการบินภาคอีสานเชื่อมประเทสเพื่อนบ้าน 23 มี. ค. 2565- นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เปิดเผยว่าในการประชุมเพื่อติดตามผลการมอบท่าอากาศยานของกรมท่าอากาศยาน (ทย. ) 3 แห่ง (ท่าอากาศยานกระบี่ อุดรธานี และบุรีรัมย์) โดยให้ ทอท. เป็นผู้ดำเนินการ ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว. คมนาคม ได้มุ่งเน้นให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการบินในภูมิภาค (Aviation Hub) โดยการที่จะเป็นศูนย์กลางทางการบิน(Hub) ได้นั้น จำเป็นต้องพิจารณาทั้งในด้านที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ รูปแบบการก่อสร้างและเทคโนโลยีที่จะนำมาใช้ ตลอดจนถึงแผนการตลาดของผู้บริหารท่าอากาศยาน ควบคู่กันไปโดยองค์รวม นายนิตินัย กล่าวว่า ในปัจจุบัน ทอท. มีท่าอากาศยานที่เป็น Hub อยู่แล้ว ได้แก่ Hub ทางภาคเหนือคือ ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม. ) Hub ทางใต้คือ ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก. ) รวมถึง Hub ภาคกลางคือ ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม. ) และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ. )
การมอบความรับผิดชอบในการบริหารจัดการท่าอากาศยาน จำนวน 3 แห่ง ให้ ทอท. ซึ่งกระทรวงคมนาคมจะเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ให้ ทอท. เข้าไปเป็นผู้รับผิดชอบในการดูแลและบริหารจัดการท่าอากาศยานอุดรธานี บุรีรัมย์ และกระบี่ แทน ทย. พร้อมทั้งแนวทางการดำเนินการฯ ด้านอื่นๆ ได้แก่ ด้านอสังหาริมทรัพย์ (ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง) ด้านสังหาริมทรัพย์ (ครุภัณฑ์) ด้านบุคลากร ด้านการขอใบรับรองการดำเนินงานสนามบินสาธารณะ และด้านงบประมาณ ก่อนหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการตามแนวทางฯ ให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวต่อไป 3. กำหนดแผนการดำเนินงาน (Action Plan) การดำเนินการให้ ทอท. เข้าไปบริหารจัดการ ท่าอากาศยานในความรับผิดชอบของ ทย. ซึ่งคาดว่ากระทรวงคมนาคมจะสามารถนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบแนวทางการให้ ทอท. เป็นผู้รับผิดชอบในการดูแลและบริหารจัดการท่าอากาศยานทั้ง 3 แห่ง แทน ทย. ได้ในเดือนเมษายน 2565 และ ทอท. จะสามารถเริ่มให้บริการท่าอากาศยานกระบี่ และท่าอากาศยานอุดรธานีอย่างเป็นทางการในเดือนส. 2565 และท่าอากาศยานบุรีรัมย์ใน เดือนก. 2565 โดยมีรายละเอียดของ Action Plan ตามรูปที่แนบ นายศักดิ์สยาม กล่าวว่า ได้มีข้อสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามที่เสนอ โดยให้ตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี และหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัด