ถึงแม้ว่าสถานการณ์เพลิงไหม้บ่อขยะบริเวณเทศบาลตำบลแพรกษา จังหวัดสมุทรปราการ จะคลี่คลายลงไปแล้ว แต่นับเป็นการเผชิญมลพิษทางอากาศครั้งรุนแรงที่สุดในรอบหลายปีของประชาชนหลายเขตที่ต้องตกเป็นผู้อพยพและได้รับความเดือดร้อน จึงเกิดคำถามตามมาว่า หากประเทศไทยเราจะก้าวผ่านปัญหามลพิษทางอากาศนี้ไปสู่เมืองสะอาด จะทำได้อย่างไร...?!?
กรมควบคุมมลพิษ กรมควบคุมมลพิษมีอำนาจหน้าที่ดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องร้องทุกข์ด้านมลพิษ โดยกฎหมายให้อำนาจดำเนินการ แก้ไขปัญหามลพิษจากแหล่งกำเนิดมลพิษ ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ. ศ.
6. Reduce (ลดการใช้สิ่งต่างๆ) ข้อนี้ทุกคนคงรู้กันดีอยู่แล้ว เพราะการบริโภค หรือใช้สิ่งต่างๆ เท่าที่จำเป็น ไม่เพียงช่วยลดปัญหาเกี่ยวกับปริมาณขยะเท่านั้น แต่ยังเป็นแนวคิด หรือวิถีการใช้ชีวิตที่นำไปสู่ความสมดุลอีกด้วย ลองเลือกซื้อผลิตภัณฑ์หรือสินค้าขนาดใหญ่ ใช้ได้นาน แทนการซื้อสินค้าที่มีขนาดเล็ก หรือมีปริมาณน้อยหลายๆ ชิ้นดูสิ ส่วนถ้าอะไรที่มีอยู่แล้ว ก็ลองห้ามใจตัวเอง ไม่ซื้อของประเภทเดียวกัน หรือแบบเดียวกันไว้ที่มาไว้ที่บ้าน นอกจากจะลดปริมาณขยะได้มากแล้ว ยังเป็นวิธีตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นที่ดีอีกด้วย! 7.
เพื่อให้ท่านได้รับการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนได้โดยเร็ว ท่านสามารถแจ้งปัญหาไปยังหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่โดยตรงในการดำเนินการ ดังนี้ ลักษณะปัญหาร้องเรียน หน่วยงานรับแจ้งเหตุ ส่วนท้องถิ่น ส่วนภูมิภาค ส่วนกลาง แหล่งกำเนิดมลพิษที่ถูกควบคุมตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ. ๒๕๓๕ เช่น การปล่อยน้ำเสียจากอาคารขนาดใหญ่ ตลาด ร้านอาหารที่ดินจัดสรร ฟาร์มสุกร สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นต้น และการปล่อยมลพิษทางอากาศ เช่น กลิ่นเหม็นจากโรงงานอุตสาหกรรม ฝุ่นละอองจากโรงสีข้าว เป็นต้น - เทศบาล/อบต. - สำนักงานเขต(เฉพาะพื้นที่ กทม. )
ค่อนข้างปลอดภัย ตรวจเจอบ้างแต่ไม่เป็นอันตรายมาก 2. ค่อนข้างรุนแรง 3. ถ้าได้รับเข้าไปในระยะเวลานานอาจทำให้ถึงขั้นช็อกหมดสติไม่ถึงกับเสียชีวิต และ 4.
Refuse (ปฏิเสธถุงพลาสติกและโฟม) จากรายงานขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก. ) ระบุว่า ประเทศไทยมีปริมาณขยะประเภทพลาสติกและโฟมมากถึง 2. 7 ล้านตัน หรือเฉลี่ย 7, 000 ตันต่อวันเลยทีเดียว ซึ่งในจำนวนนี้ ไม่สามารถกำจัดด้วยวิธีฟังกลบได้ทั้งหมด เพราะพลาสติกจะใช้เวลาย่อยสลายถึง 450 ปี! แต่ขณะเดียวกัน ขยะประเภทนี้ ก็ไม่สามารถนำไปเผาทำลายได้ เพราะถุงพลาสติกมีส่วนประกอบของเม็ดปิโตรเลียม ซึ่งเมื่อระเหยไปในบรรยากาศจะสร้างสารปนเปื้อนในดินและน้ำ ฉะนั้นแล้ว ทางที่ดีคือเลือกปฏิเสธแล้วหันมาใช้ถุงผ้า กล่องข้าวที่ผลิตจากวัสดุธรรมชาติ ไปจนถึงภาชนะใช้ซ้ำต่างๆ อย่างหลอด ขวดน้ำ ช้อนส้อม ตะเกียบ นอกจากลดขยะ ลดพลาสติก ไปจนถึงโฟมได้แล้ว เรายังช่วยลดมลพิษทางอากาศได้ด้วย! 2. Recycle (แยกขยะให้เป็นนิสัย) ทุกคนคงเคยเห็นถังขยะหลากหลายสีมาตั้งแต่เด็ก แต่รู้หรือไม่ว่า นอกจากการแยกขยะให้เป็นนิสัยจะช่วยให้กำจัดขยะได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นแล้ว มันยังช่วยลดค่าใช้จ่ายที่ใช้ในกระบวนการกำจัดขยะอีกด้วย! เพราะแต่ละวัน เจ้าหน้าที่ต้องเก็บขยะวันละมากกว่า 9, 000 ตัน ซึ่งใช้งบประมาณมากกว่า 2, 000 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นค่าจ้างฝังกลบขยะตันละมากกว่า 100 บาท ซึ่งการแยกขยะ และทิ้งขยะลงถังตามสี คือ ทิ้งเศษอาหาร กากของผัก ผลไม้ ในถังสีเขียว ทิ้งแก้ว อลูมิเนียม หรือวัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้ในถังสีเหลือง และทิ้งขยะทั่วไปที่สามารถนำไปเป็นเชื้อเพลิง ตลอดจนใช้เป็นสิ่งประดิษฐ์ เช่น กล่องนม เศษผ้า ยาง ไม้ ในถังสีน้ำเงิน เพียงเท่านี้ ทุกคนก็สามารถช่วยโลกได้ และยังเป็นการช่วยประหยัดงบประมาณของประเทศอีกทางหนึ่งด้วย!
ความจริง ปัญหาขยะกองโตเป็นภูเขาจนกำจัดไม่หมด จริงๆ แล้วการกำจัดขยะไม่ยากหรอกครับ นั่นคือ การสร้างโรงไฟฟ้าจากการเผาขยะ โดยให้เลียนแบบจากโรงไฟฟ้าพลังงานขยะของญี่ปุ่น ที่เขาทำได้ครบวงจร และแทบไม่เกิดมลพิษเลย แต่ไฉน โรงไฟฟ้าแบบนี้กลับไม่ค่อยเกิดขึ้นง่ายๆ ในประเทศไทย? หรือแม้กระทั่งโรงไฟฟ้าจากพลังงานชีวมวล ที่เกิดจากการเผาเศษวัชพืช เศษขยะจากการเกษตร เช่น ฟาง แกลบ ชานอ้อย กาบปาล์ม และวัสดุเหลือใช้แล้วต้องทิ้งทางการเกษตรอื่นๆ อีกมากมาย แล้วทำไม โรงไฟฟ้าชีวมวล จึงไม่ค่อยเกิดขึ้นในเมืองไทยง่ายๆ เช่นกัน? ขยะที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ เมื่อไปถึงเตาเผาขยะ ส่วนใหญ่ก็เผาทิ้งไปเฉยๆ โดยไม่ได้แปรเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าเลย เสียพลังงานจากการเผาไปเปล่าประโยชน์ แล้วพอ กทม. จะทำเป็นโรงไฟฟ้าจากพลังงานเผาขยะแบบเดียวกับที่ญี่ปุ่นใช้ ก็จะมีกลุ่มชาวบ้านออกมาคัดค้านไม่เห็นด้วย เพราะเกรงมลภาวะเป็นพิษในชุมชน แต่ในขณะที่ปล่อยให้มีกองขยะใหญ่เท่าภูเขาที่ทั้งเหม็น และเป็นแหล่งเพาะพันธุ์สะสมเชื้อโรค แถมวันดีคืนดีกองขยะก็เกิดลุกไหม้ติดไฟเองจนเป็นข่าวบ่อยครั้ง นั่นยิ่งสร้างมลภาวะอันตรายยิ่งกว่า แต่คนไทยกลับยอมให้มีกองขยะเท่าภูเขาได้มากกว่าจะยอมให้มีโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ คิดดูถ้า กทม.
มีโรงไฟฟ้าจากขยะแบบที่ญี่ปุ่น เราจะได้ทั้งไฟฟ้า ได้ทั้งกำจัดขยะ ได้ทั้งผงคาร์บอนหรือขี้เถ้าที่ได้จากการเผาขยะ แล้วนำขี้เถ้าเหล่านี้เอาไปถมทะเลกรุงเทพฯ ด้านบางขุนเทียนที่กำลังถูกน้ำทะเลรุกคืบกัดเซาะได้เป็นอย่างดี เพราะที่ญี่ปุ่นเขาเอาผงคาร์บอนไปสร้างแผ่นดินให้งอกทุกปีเช่นกัน นั่นก็เท่ากับว่า แค่มีโรงไฟฟ้าจากการเผาขยะ ก็จะได้ช่วยคืนแผ่นดินให้กรุงเทพฯ ด้วย คิดดูสิว่ามันจะดีขนาดไหน? หรือแม้แต่ในหลายจังหวัด ที่จะมีโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวล เพื่อจะได้นำเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาผลิตไฟฟ้า ย่อมดีกว่าให้ชาวบ้านเผาทิ้งกันเองจนเกิดมลภาวะเป็นพิษทางอากาศแบบควบคุมไม่ได้ แบบที่เราเห็นเป็นข่าวเป็นประจำนั้น แล้วสาเหตุที่โรงไฟฟ้าทั้ง 2 แบบล้วนก็เกิดขึ้นได้ยาก สาเหตุทั้งหมดมาจากอะไรรู้ไหมครับ?